เมนู

นัปปฏิสันธิคหณปัญหา ที่ 2


ขณะนั้นสมเด็จพระเจ้ากรุงมิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการถามอรรถปัญหาอื่น
สืบไปอีกเล่าว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้เป็นเจ้า โย ปุคฺคโล อันว่าบุคคลผู้ใด นปฺ-
ปฏิสนฺธิยติ
ไม่เกิดอีกในชาติเบื้องหน้า โส ชานาติ บุคคลผู้นั้นรู้ตัวหรือไม่ว่าอาตมานี้จะไม่เกิด
ต่อไป จะรู้กระนี้หรือว่าหามิได้
พระนาคเสนผู้ปรีชาแก้ไขว่ารู้ซิ ขอถวายพระพร
พระเจ้ากรุงมิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสซักว่า เมื่อผู้นั้นไม่เกิดแล้ว
ทำไมจึงรู้
พระนาคเสนผู้ประเสริฐแก้ไขว่า เหตุปัจจัยที่ไม่เกิดต่อไปนั้น ดับหมด ไม่มี เหตุฉะนี้จึง
รู้ว่า อาตมานี้ไม่เกิดเป็นรูปเป็นจิตต่อไป ขอถวายพระพร
พระเจ้ามิลินท์ปิ่นกษัตริย์ตรัสว่า นิมนต์อุปมาให้แจ้งก่อน
พระนาคเสนถวายพระพรอุปมาว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร เปรียบ
ปานประดุจคหบดีชาวนา กสิตฺวา ถากไร่ไถนาด้วยตน ทำลงคงเส้นคงวา นับนาได้หลายอัน
ครั้งถากไถดะแปรเสร็จแล้วมินาน ก็หว่านข้าวลงในนา ครั้นถึงกำหนดห้าเดือนหกเดือนจึงเป็น
รวงสุกแล้วก็เตือนให้ข้าสินไถ่ไปเกี่ยวข้าว บรรทุกลงล้อเกวียน ลากเข็มมาริมบ้าน กองไว้ในลาน
นวดฟั้นแล้วขนข้าวนั้นขึ้นใส่ไว้เต็มยุ้งในปีแรกทำนั้น อปเรน สมเยน ครั้นรุ่งปีใหม่ คหบดีก็ถาก
ไถไร่นาตามอาตมาเคยทำนั้น หว่านข้าวปลูกลงนาตามเคยหว่านมา ถ้าน้ำดีปีใหม่ข้าวไม่เสียหาย
คหบดีนายนาจะรู้หรือไม่ ว่าข้าวปลูกที่หว่านลงไว้จะได้เต็มยุ้งเท่าเก่า
พระเจ้ากรุงมิลินท์ตรัสว่า คหบดีนั้นเขารู้ซิ พระผู้เป็นเจ้า
ขอถวายพระพร เขารู้ด้วยเหตุอะไร
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เขารู้ด้วยเหตุปัจจัยอันแรกระทำนั้นเต็มยุ้ง ครั้นปีใหม่เขาก็กระทำ
เท่าที่เคยกระทำนั้น จึงรู้ว่าจะเต็มยุ้งพอกินไป
ขอถวายพระพร ฉันใดก็ดี พระโยคาวจรที่ไม่เกิดต่อไปอีกชาติหน้า ก็รู้ว่าเหตุปัจจัยที่
แต่งให้เวียนว่ายเกิดตายในวัฏสงสาร นานช้าจะคณนานับมิได้ และเหตุปัจจัยนั้นสิ้นไป ท่านก็
เข้าใจว่า อาตมานี้จะมิได้เกิดต่อไปอีกในภพเบื้องหน้า บรมบพิตรจงทราบด้วยอุปมานี้

พระเจ้ามิลินท์ได้ทรงฟัง ก็ยินดีปรีดาว่าพระผู้เป็นเจ้าอุปมานี้ สมควรกับปัญหาในกาล
บัดนี้
นับปฏิสนธิคหณปัญหา คำรบ 2 จบเท่านี้

ปัญญานิรุชฌนปัญหา ที่ 3


ราชา

สมเด็จพระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นกษัตริย์มีพระราชโองการตรัสถามอรรถปัญหา
ต่อไปอีกเล่าว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้เป็นเจ้า ญาณบังเกิดในสันดานผู้ใด ผู้นั้น
หรือชื่อว่าปัญญาบังเกิด
ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภารผู้ประเสริฐ ญาณที่บังเกิดขึ้นนั้นแลเรียกว่าปัญญา
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดี มีพระราชโองการซักว่า ภนฺเต ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
ญาณบังเกิดในสันดานผู้ใดผู้นั้นเรียกว่ามีปัญญา เมื่อปัญญาบังเกิดจะหลงบ้างหรือหามิได้
พระนาคเสนวิสัชนาแก้ไขว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร บางทีหลงก็มี
ที่ไม่หลงก็มี ขอถวายพระพร
สมเด็จพระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นประชากรตรัสถามว่า ที่หลงนั้นอย่างไร
พระนาคเสนแก้ไขว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร ที่มีปัญญาหลงนั้นคือ
เดินดงพงป่าหารู้จักทิศที่จะไปไม่ เหตุมิได้ฟังเขาเล่าบอกนามบัญญัติ ว่าถึงที่นั้นมีต้นไม้อันนั้น
เป็นสำคัญ เหตุนี้ผู้มีปัญญานั้นจึงหลงไป
พระเจ้ามิลินท์ปิ่นกษัตริย์ตรัสถามว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ที่ไม่หลงนั้นอย่างไร
พระนาคเสนวิสัชนาแก้ไขว่า ขอถวายพระพรได้แก่โยคาวจรอันปลงปัญญาเห็นพระอนิจจัง
และพระทุกขัง และพระอนัตตา นี่แหละปัญญาท่านไม่หลง
พระเจ้ากรุงมิลินท์จึงมีพระราชโองการถามว่า ที่ปัญญาไม่หลงนั้น โมโหในสันดานท่าน
ไปแอบอยู่ที่ไหน
พระนาคเสนถวายพระพรแก้ไขว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร เมื่อปัญญา
บังเกิดแล้ว โมโหก็ดับอยู่ที่ปัญญานั้น